TOP

ไทยแลนด์เวลคัม! “Norwood Young” ศิลปินเพลงผิวสีชื่อดัง เลือกปักหมุดชีวิตที่เมืองไทย ชมไลฟ์มิวสิค ที่ “แม็กกี้ ชูส์”

นอร์วูด ยัง (Norwood Young) ศิลปินเพลงอาร์แอนด์บีโซล ผู้ชนะรางวัลเเผ่นบันทึกเสียงอเมริกัน (Award-Winning American Recording Artist ) และผู้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ ( Grammy Award Nominee) ที่วันนี้เลือกปักหมุดชีวิตบั้นปลายที่เมืองไทย

 

เชื่อแน่ว่าใครที่เป็นเจนเนอร์เรชั่น X เกิดในยุค 70 และ 80 ต้องคุ้นเคยกับศิลปินเพลงสัญชาติอเมริกัน “นอร์วูด ยัง” เป็นแน่ ในเวลานั้นเป็นยุคทองของศิลปินเพลงผิวสีที่มีชื่อเสียงหลายต่อหลายคน และหนึ่งในนั้นก็คือชายหนุ่มผิวสีผู้ที่มีดีกรึรางวัลระดับโลก การันตีความสามารถทางดนตรีคนนี้ นอร์วูด ยัง ฉายแววพรสวรรค์ทางด้านดนตรีและการแสดง ตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 6 ขวบ เขาได้สั่งสมประสบการณ์การร้องเพลงตั้งแต่ยังเด็ก ในการเป็นส่วนหนึ่งของนักร้องประสานเสียงที่โบสถ์ และพัฒนาการร้องเพลงจนสามารถรับงานร้องเพลงในงานแต่งงาน และไนท์คลับ เส้นทางดนตรีของเขาเป็นที่น่าจับตามอง จนได้รับเชิญไปปรากฏตัวในสถานีโทรทัศน์ช่องข่าวของรัฐฟิลาเดลเฟีย ในรายการ City Lights เป็นครั้งแรก

จากนั้นเขาก็ได้รับการทาบทามจากสังกัดเพลงชื่อดัง และทำสัญญาเพื่อบันทึกเสียงออกอัลบั้มเพลงชุดแรกในชีวิต กับค่ายเพลง เอ็มซีเอ เรคอร์ทส์ (MCA Records/Magnolia Sound) ที่มีชื่อเสียงในอเมริกาเป็นอย่างมากในปี ค.ศ.1987 (พ.ศ. 2530) ด้วยวัย 17 ปีของเขา กับอัลบั้มแรกที่มีชื่อว่า “ไอ คานท ์ เล็ท ยู โก” (I can’t Let You Go) จนสามารถดันให้ 2 เพลงในอัลบั้ม “Should Have Been Us Together” และ “Feels So Good” ทะยานขึ้นติดอันดับเพลงฮิตติดชาร์ตเพลงในประเทศอังกฤษ เขากลายเป็นศิลปินเพลงที่มีชื่อเสียงโด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน เป็นที่รู้จักและมีแฟนเพลงไปทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป เปรู ที่เขาได้ไปทัวร์คอนเสิร์ต

หลายปีถัดมา เขาย้ายไปพำนักที่นิวยอร์ก และได้ร่วมงานกับค่ายเพลง อีเอ็มไอ เรคอร์ท (EMI Records) ที่เชื้อเชิญเขาร่วม วง Pieces of a Dream ในฐานะนักร้องนำ แนวเพลงผสมผสานระหว่างเพลงแจ๊สในตำนาน กับแนวเพลงริทึมแอนด์บลูส์ (R&B) พวกเขาร่วมกันทำอัลบั้มเพลงชื่อชุด “เบาท ์ แดท ไทม”์ (Bout Dat Time) ที่ทำให้ นอร์วูด ยัง ได้รับรางวัลอัลบั้มทองคำ จากเพลงยอดนิยม “วอท แคน ไอ ดู” (What Can I Do?) ต่อมา นอร์วูด ยัง ได้ร่วมบันทึกเพลง “ยังแมน โอลเดอร์ วูแมน” (Young Man, Older Woman) กับ เมลลี่ แจ๊คสัน (Mille Jackson) ศิลปินผู้เข้าชิงรางวัลเเกรมมี่ และได้ถูกนำไปเป็นเพลงประกอบในการเดินสายทางดนตรี ที่ใช้ชื่อเพลงไปเป็นชื่อการเดินสายครั้งนั้น

 

นอร์วูด ยัง โลดแล่นเข้าสู่วงการละครเพลงบรอดเวย์ ตามความหลงใหลที่เขามีต่อการแสดง ซึ่งเขาได้รับบทนำใน “เจมส์ ธันเดอร์ เออร์ลี่ บรอดเวย์” (James Thunder Early Broadway) ในละครเพลงเรื่อง “ดรีมเกิร์ลส์” และเขายังคงเดินหน้าทำหน้าที่นักเเสดงของเขาต่อไป ด้วยบทบาทของ “โพนี่ เทล พรีเชอร์” (Pony-tails Preacher) ในละครเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงเรื่อง “มัมมา ไอวอนท์ ทู ซิง” ภาคสอง (Momma I want to Sing, Part 2) เเละ “ดอนท์ เก็ท ก็อด สตาร์ทิด” (Don’t Get God Started) จนกระทั่ง ในปี 2558 เพลงยอดนิยมอัลบั้มเดี่ยวของ นอร์วูด ยัง ที่ชื่อ “ไอ เฟล อินเลิฟ วิธ ยู เฟิร์สท ์” (I Fell In Love with you first) ได้ถูกนำเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเเกรมมี่

“เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางมาเมืองไทย และตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่ เมื่อ 8 เดือนที่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้ผมได้เดินทางไปทำแสดงที่ประเทศมาเลเซีย กัมพูชา ฮ่องกง และสิงคโปร์ เลยไม่ค่อยได้อยู่ที่เมืองไทยเท่าไรนัก”

 

นี่คือประโยคแรกที่ “นอร์วูด ยัง” ได้กล่าวกับ Mercedes Magazine เราได้รับเกียรติพูดคุยเป็นการส่วนตัว และมีโอกาสใกล้ชิดศิลปินชื่อดังระดับโลก พร้อมเข้าชมการแสดงสดแบบเอ็กคลูซีฟ ไลฟ์โชว์ของ “นอร์วูด ยัง” (Norwood Young) ในค่ำคืนสุดพิเศษของ “เเม็กกี้ ชูส์” ที่ “เดอะ เพนท์เฮาส์” กรุงเทพฯ นั่นคือความพิเศษ และเซอร์ไพร์ส ที่ได้รู้ว่าต่อจากนี้แฟนเพลงชาวไทย จะได้มีโอกาสติดตามฟังเพลงและชมการแสดงของเขาได้โดยไม่ต้องบินไปไกลถึงต่างแดน

เเม็กกี้ ชูส์ บาร์เอเชียชื่อดังผสานกลิ่นอายของคาบาเร่ชั้นใต้ดินย่านสีลม เจ้าภาพผู้เนรมิตให้เกิดค่ำคืนเอ็กคลูซีฟปาร์ตี้ ได้ทะยานขึ้นฟ้าสู่เเสงสีเเห่งมหานครครอบครองพื้นที่ชั้น 35 เเห่ง “เพนท์เฮาส์ บาร์ เเอนด์ กริลล์” โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ (Park Hyatt Bangkok) ช่างเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวของ มนต์เสน่ห์เเละสีสันเเห่งยุค Shanghai 1930 เเละยุค Roaring’20 รับกับบทเพลงแจ๊สผสานอาร์แอนด์บีโซล ที่ นอร์วูด ยัง เลือกมาทำการแสดง สะกดเหล่านักฟังเพลงให้เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงร้องอันทรงพลังสไตล์ (Black Voice) ทุกสายตาจับจ้องไปกับลีลาอันสนุกสนาน และเครื่องแต่งกายที่ดูพิเศษ ส่งให้ นอร์วูด มีเสน่ห์เซ็กซี่ขยี้ใจแบบสุดๆ เขาได้พาทุกคนเข้าสู่ภวังค์แห่งแจ๊ส พาพวกเราย้อนกลับไปสู่ยุค 80 ผ่านบทเพลงเพราะอันเป็นอมตะ สมกับความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ระดับโลก

 

ช่วงเบรคพักการแสดง นอร์วูดให้ความเป็นกันเอง นั่งพูดคุยกับ Mercedes Magazine ถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญ ในการเลือกเมืองไทยเป็นจุดหมายของชีวิต

“หากพูดถึงกรุงเทพฯ ที่นี่เป็นเมืองที่คนชอบแนวเพลง Black Music เยอะนะครับ เดิมทีผมแพลนจะไปอยู่ฮ่องกง ตามคำแนะนำของเพื่อน แต่แล้วค้นพบมนต์เสน่ห์ของกรุงเทพฯ ว่ามีผู้คนที่น่ารัก เป็นมิตร และค่าครองชีพไม่สูง แต่อีกสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ คนไทยชื่นชอบและหลงรักในเสียงเพลง และพวกเขามีวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตที่งดงาม ในทุกวันศุกร์ เสาร์ สุดสัปดาห์ ผมจะทำการแสดงที่ Maggie Choo’s ด้วยการขับกล่อมบทเพลงให้ผู้รักในเสียงเพลงได้เพลิดเพลิน ผ่อนคลายไปกับช่วงเวลาแห่งพักผ่อนของพวกเขา หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับงานมาตลอดทั้งสัปดาห์ จริงๆ ผมตั้งใจไว้ว่า อยากเปิด Soul Food Soul Music Club ที่นี่ เพราะเท่าที่ผมสังเกตุ กรุงเทพมีร้านอาหารจีน อาหารไทย แต่ยังไม่มีร้านอาหารอเมริกัน ที่เป็นแนว Soul Food แบบรสชาติต้นตำรับขนานแท้ และมี Soul Music ดีๆ ชิคๆ ในสถานที่เดียวกัน นั่นถือเป็นความฝันของผม”

 

คุณเลือกปักหลักบั้นปลายชีวิต ที่ประเทศไทย? 

“อย่างที่คุณทราบ ปัจจุบันนี้ที่ประเทศอเมริกา สถานการณ์ทางการเมืองเข้มข้นและกดดันมาก มันเลยทำให้ผมมองหาสถานที่หรือประเทศที่มีความสวยงาม และวัฒนธรรมที่สามารถพาผมออกจากภวังค์ของห้วงอารมณ์เดิมๆ ได้ ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ชื่อของประเทศไทย ขึ้นมาเป็นอันดับแรกที่ผมนึกถึงทันที เพราะที่ผ่านมา ผมได้ยินได้ฟัง ถึงเรื่องราวประเทศเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความงดงามของแถบเอเชียอันน่าหลงไหล และอีกสิ่งที่มีความพิเศษมากๆคือ อาหารไทยรสชาติเป็นเอกลักษณ์และจัดจ้าน นี่เป็นเหตุผลหลักๆ เลย ที่ผมตัดสินใจเลือกพำนักอยู่ประเทศไทย เพราะผมรักอาหารไทยมาก”

 

คุณมีสไตล์การแต่งตัวที่พิเศษ

“ในค่ำคืนที่ผู้คนต่างมีจุดมุ่งหมาย เลือกมาสถานที่ที่ให้ความรู้สึกอยากผ่อนคลาย พร้อมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าตัวโปรด เครื่องประดับที่พวกเขาเลือกอย่างบรรจง ส่งประกายความงามให้ความรู้สึกที่พิเศษ เพื่อมาฟังดนตรี นี่คือรสนิยม ดวงไฟจากสปอร์ตไลท์ และแสงไฟระยิบระยับอันเต็มไปด้วยสีสันแห่งไนท์ไลฟ์ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ชนแก้วเครื่องดื่มพร้อมเสียง Cheers สัญญาณแห่งความครึกครื้นสนุกสนาน ช่วงเวลาแห่งปาร์ตี้ และเสียงเพลงกำลังจะเริ่มขึ้น แน่นอนว่าผมรับหน้าที่ขับร้อง นั่นถือเป็นหน้าที่สำคัญ ถ้าเปรียบว่านี่คือเรือที่เรากำลังจะล่องไปด้วยกัน ผมรับหน้าที่กัปตันคุมบังเหียนเรือก็คงไม่แปลก ดังนั้นผมจึงตั้งใจ ใส่ใจในทุกรายละเอียด ในทุกมิติของการแสดงบนเวที ผมเลือกสวมชุดของ Louis Vuitton เพราะผมคือ “ศิลปินร้องนำ” หน้าที่คือทำให้ผู้คนเพลินเพลิน เอ็นจอย มีความสุข ดังนั้นผมต้องนำเสนอความสวยงามผ่านเสียงเพลงที่มาจากตัวผม และความงดงามผ่านเท็กเจอร์บนเสื้อผ้าอันประณีต และเครื่องประดับที่ระยิบระยับอยู่บนเรือนร่าง เมื่อผมยืนอยู่บนเวที ผมจะให้เกียรติผู้ชมที่เสียเงินตั้งใจเข้ามาชมการแสดง และวัฒนธรรมการฟังเพลงของผู้คนสมัยนี้ก็เปลี่ยนไปด้วย พวกเขาไม่ได้ชื่นชอบแค่เสียงร้องเพียงเท่านั้น หลายๆ คนหลงรักในสไตล์และแฟชั่นเครื่องแต่งกายของนักร้อง บางทีผมอาจจะเป็นศูนย์กลางที่ดึงดูดคนที่รักเสียงเพลง ให้ได้ซึมซับแฟชั่นไปในเวลาเดียวกัน โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวก็เป็นได้ หรือผมอาจจะทำให้คนที่เป็นเหล่าแฟชั่นนิสต้าตัวยง ให้หยุดมองมาที่ผม จากเครื่องแต่งกายที่ผมเลือกมาอย่างบรรจง แล้วฟังเสียงร้องของผมก็ได้เช่นกัน ในโลกของดนตรีหรือโลกของแฟชั่น มันคือศิลปะที่งดงามที่ผสมผสานไปด้วยกัน มันอาจแตกต่างแค่เพียงตัวสะกด แต่มันใช้จิตวิญญาณของศิลปะแขนงเดียวกัน ถ้าคุณได้สัมผัสแล้ว คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะตกหลุมรัก จนยากที่จะถอนตัว ถ้าคุณจะเห็นอย่างศิลปินเพลง ลูเธอร์ แวนดรอส (Luther Vandross) หรือ ไดอาน่า รอสส์ (Diana Ross) ผมก็อยากเป็นอย่างนั้น เวลาที่เขาทำการแสดงบนเวที เครื่องแต่งกายของเขาจะเปล่งประกายเจิดจรัส ยามกระทบแสงไฟ แสงแฟลชตลอดการแสดง และเมื่อคุณต้องร้องเพลง Sexy Music อย่างเพลง “A House Is Not A Home” คงไม่ใช่ชุดยีนส์ เสื้อแจ๊คเก็ต ผมคงต้องแอบกระซิบเบาๆ ว่า มันช่างดูไม่สนุกเอาเสียเลย ลองเปลี่ยนเป็นหยิบชุดโปรดตัวแซ่บออกมาใส่ แล้วสาดลีลาสีสันบนเวที พร้อมร่ายเวทมนต์ สะกดทุกสายตาไว้ที่คุณ ลองดู!”

แฟนเพลงสามารถติดตามคุณได้ที่ไหน 

“ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเพลงสไตล์แจ๊ส และ อาร์แอนด์บีโซล และถ้าคุณเป็นแฟนเพลงของ ลูเธอร์ แวนดรอส (Luther Vandross), สตีวี วันเดอร์ (Stevie Wonder), ไลโอเนล ริชชี (Lionel Richie) และ เท็ดดี้ เพนเดอร์กราส (Teddy Pendergrass) คุณต้องไม่พลาดบทเพลงเหล่านั้น และติดตามผมได้ที่ “แม็กกี้ ชูส์” ผมจะมาขับกล่อมบทเพลงพาคุณสู่โลกของอาร์แอนด์บีโซล ซึ่งผมทำการแสดงทุกคืนวันศุกร์เเละวันเสาร์ ตั้งเเต่เวลา 22.00 น.เป็นต้นไป หากใครที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสบรรยากาศบาร์ผสานกลิ่นอายของคาบาเร่ ชั้นใต้ดินย่านสีลมที่ผมทำการแสดงแห่งนี้แล้วล่ะก็ ผมขอเชิญทุกคนนะครับ เรามารู้จักกันให้มากขึ้น เพราะผมรอที่จะเป็นเพื่อนกับคุณ  หรือสามารถติดตามข่าวคราวผมผ่านทางเฟสบุ๊กเพจ Maggie Choo’s หรือโซเชี่ยลมีเดียส่วนตัวของผม ที่ เฟสบุ๊ค Norwood Young, Twitter @justnorwood และ อินสตาแกรม @justnorwood ครับ