อัศจรรย์ศิลปะ สถาปัตยกรรม แฟชั่น หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวที่ ‘มิลาน’
บางที สีสันของแฟชั่นก็ดึงดูดใจ จนบดบังสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายอย่างใน “มิลาน” มิลานขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแฟชั่น เป็นเมืองธุรกิจ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของอิตาลี เป็นเมืองที่หลายคนพุ่งตรงมาช้อปปิ้ง แต่ความจริงมิลานมีงานศิลปะ และสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจและน่าใช้เวลาอยู่ด้วยนานๆ
Duomo di Milano – Milan Cathedral
มามิลานต้องแวะ “ดูโอโม ดิ มิลาโน” หรือมหาวิหารแห่งมิลาน เพราะลานกว้างหน้ามหาวิหาร (Piazza del Duomo) เป็นเหมือนจัตุรัสกลางเมือง เป็นจุดนัดพบที่รายล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้า ใครมาช้อปปิ้งก็อดไม่ได้ที่จะแวะดูโอโมฯ มหาวิหารแห่งมิลานเป็นโบสถ์หินอ่อน สถาปัตยกรรมโกธิกที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อประมาณ 50 กว่าปีที่แล้วนี่เอง โครงสร้างหลักใช้เวลาก่อสร้าง 427 ปี โดยน่าจะเริ่มสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1386 มาแล้ว เสร็จใน ค.ศ.1813 ใช้เวลาตกแต่งอีก 152 ปี จึงเสร็จสมบูรณ์จริงๆ ในปี ค.ศ. 1965 รวมเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 576 ปี มีคนมหาศาลที่เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงาน จนมีการเรียกที่นี่ว่าเป็นโรงงาน
คำว่า ดูโอโม แปลว่า มหาวิหาร ซึ่งหลายๆ เมืองในอิตาลี ต่างก็มีมหาวิหารหรือดูโอโมทั้งนั้น แต่ ดูโอโมที่มิลาน มีชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่า “วิหารเม่น” (the porcupine) เนื่องจากลักษณะหลังคาโบสถ์ที่เป็นยอดแหลม ซึ่งมีมากถึง 135 ยอด บนยอดที่สูงที่สุดประดับรูปแม่พระ นามว่า มาดอนนินา (Madonnina) สูง 4.16 เมตร โครงสร้างทำจากสเตนเลสสตีลหุ้มด้วยทองแดง และปิดด้วยทองคำ น้ำหนักรวมเกือบหนึ่งพันตัน การติดตั้งรูปปั้นนี้ดำเนินการกันในตอนดึกสงัด ดังนั้น เช้าวันหนึ่งของเดือนธันวาคม ค.ศ. 1774 ผู้คนจึงต่างต้องประหลาดใจกับการปรากฏกายขึ้นของ “มาดอนนินา” เหนือท้องฟ้าของมิลาน บนยอดแหลมอื่นๆ รวมทั้งผนังด้านนอกและด้านใน ยังมีรูปปั้น รูปสลักหินอ่อนอีกมากมาย รวมทั้งสิ้น 3,400 รูป หินอ่อนภายนอกมหาวิหารเป็นสีขาวและชมพู ดูสว่างโดดเด่นไม่ว่ายามกลางวันหรือกลางคืน แต่ภายในกลับดูหม่นๆ สักหน่อย เพราะนอกจากจะเป็นหินอ่อนที่มีสีค่อนข้างดำกว่าแล้ว ยังว่ากันว่า ผนัง เพดาน และเสาหินภายในนี้ ไม่มีการทำความสะอาดเลย นานวันเข้าหินอ่อนจึงกลายเป็นสีน้ำตาลหม่น แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังสวย ขลัง อลังการ น่าเข้ามาเยี่ยมชมอยู่ดี นอกจากเข้ามาชมด้านในแล้ว เราควรต้องไปปีนหลังคาโบสถ์กันด้วย มหาวิหารแห่งมิลานสูง 108 เมตร บันไดขึ้นถึงหลังคามี 158 ขั้น ได้ยินแล้วอย่าเพิ่งถอดใจ เขามีลิฟต์ให้บริการเป็นทางเลือก ช่วยย่นย่อเวลา ระยะทาง และความเหนื่อยได้ในระดับหนึ่ง แลกกับราคาบัตรเข้าชมที่แพงกว่า และถ้าไม่อยากต่อคิวนาน มีบัตรแบบฟาสต์แทร็กด้วย
ณ หลังคาโบสถ์ เรายังต้องแหงนมองขึ้นไปอีกเกือบจะคอตั้งบ่า จึงจะเห็นมาดอนนินาสีทองอร่ามบนยอดแหลม ที่อยู่กึ่งกลางโบสถ์ อาสนวิหารทุกแห่งเกิดขึ้นจากศรัทธา สำหรับดูโอโมแห่งมิลานนี้ ต้องมีศรัทธามากเพียงใดจึงจะสามารถส่งต่อการก่อสร้างอันยาวนานเกือบหกศตวรรษ ไม่รู้กี่ชั่วอายุคน จนสำเร็จงดงามได้แบบนี้
Duomo di Milano โบสถ์: เปิดทุกวัน 8.00-19.00 น. หลังคาโบสถ์: เปิดทุกวัน 9.00-19.00 น. มีค่าเข้าชม: มหาวิหาร 3 ยูโร, หลังคาโบสถ์ 10-23 ยูโร, เด็กอายุ 6-11 ปี ราคาพิเศษ
www.duomomilano.it/en/
Galleria Vittorio Emanuele II
มามิลาน แวะดูโอโมฯ ก็ต้องผ่าน “กัลเลรีอา วิตโตรีโยเอมานูเอเล เซคอนโด” อาคารหลังใหญ่ข้างๆ ดูโอโมฯ นั่นแล นี่คือหนึ่งในศูนย์การค้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เปิดให้บริการตั้งแต่ปี ค.ศ.1877 จนปัจจุบัน ที่นี่ก็ยังเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และมีโรงแรมด้วย ชื่อห้างตั้งตามชื่อกษัตริย์พระองค์แรกของอิตาลี คือ พระเจ้าวิตโตรีโย เอมานูเอเลที่ 2 สิ่งที่น่าสนใจของที่นี่ ไม่ใช่แค่สินค้าแบรนด์เนมหรือร้านค้าสุดหรู แต่อยากให้สังเกตดูสถาปัตยกรรม ว่ากันว่า ที่นี่คือต้นแบบของศูนย์การค้าที่มีโดมหรือหลังคาเป็นกระจกในปัจจุบัน
ห้างกัลเลรีอาฯ เป็นอาคารสูงแค่ 4 ชั้น แต่ดูอลังการมาก มีทางเดินผ่ากลางแบ่งอาคารออกเป็นสี่ส่วน ทางเดินคลุมด้วยหลังคากระจกโค้งตลอดทาง ณ จุดตัดตรงกลางเป็นโดมกระจก และที่พื้นตรงกลางโดมนั้น ลองมองหางานโมเสกที่เป็นรูปกระทิง เชื่อกันว่า ถ้าไปยืนอยู่ตรงอัณฑะของกระทิงแล้วหมุนตัวด้วยส้นเท้าจะโชคดี หรือได้กลับมาที่นี่อีก เพราะแบบนี้ โมเสกรูปนั้นก็เลยสึกมากกว่าจุดอื่นๆ ทุกวันนี้ชาวมิลานก็ยังนิยมนัดพบปะกินดื่มกันที่นี่ ร้าน Biffi ของ ปาโอโล บิฟฟี พ่อครัวขนมหวานของกษัตริย์อิตาลี ที่เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1852 ก็ยังเปิดให้บริการอยู่ โถงทางเดินของห้างกัลเลรีอาฯ กลายเป็นเหมือนทางเดินสาธารณะ ที่มีผู้คนสัญจรมาตลอด 24 ชั่วโมง เพราะฟากหนึ่งของห้างคือ จัตุรัสดูโอโมฯ ที่มีคนแวะมาเยี่ยมเยียนทั้งวันทั้งคืน ขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้น คือ ลานลา สกาลา (Piazza della Scala) มีรูปปั้นของลีโอนาร์โด ดา วินชี ตั้งอยู่กลางสวนรูปวงกลม หันหน้าสู่ โรงละครลา สกาลา อันโด่งดัง
Teatro alla Scala – La Scala Theatre
“ลา สกาลา” เป็นโรงละครที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1778 จนถึงวันนี้ ก็มีตารางการแสดงยาวไปจนถึงฤดูกาลแสดงปี 2020 แล้ว ประสบการณ์การแสดงที่ลา สกาลา ถือเป็นเกียรติประวัติ ที่บรรดานักร้องโอเปรา นักบัลเลต์ นักดนตรี ศิลปิน และคนในแวดวงการละครบันทึกไว้ด้วยความภาคภูมิใจ ส่วนคนที่ชอบดูการแสดงแนวนี้ ก็อยากมาดูที่ ‘ลา สกาลา’ สักครั้ง เพราะเป็นที่เลื่องลือว่า ระบบเสียงที่นี่สุดยอดมาก ตัวอาคารภายนอกของลา สกาลา อาจดูเรียบง่ายสไตล์นีโอคลาสสิก เดินผ่านๆ ไปได้แบบไม่มีอะไรสะดุดตาเลย แต่ภายในตกแต่งอย่างอลังการ งามหรูจนชวนให้จินตนาการถึงยุควิกตอเรีย ที่สาวๆ ชนชั้นสูง สวมกระโปรงสุ่มบานฟูฟ่อง ถือพัดลูกไม้ กรีดกรายมาดูละครมาฟังดนตรีกัน เข้าไปแล้วเหมือนหลงยุค ทุกวันนี้การแต่งตัวเข้าโรงละครไม่จำเป็นต้องหรูหราจัดเต็มอะไรขนาดนั้น แต่ขอเพียงแค่ให้เกียรติสถานที่ ถ้าหากใส่กางเกงขาสั้นหรือเสื้อยืดแขนกุดมาอาจไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า แล้วจะไม่คืนเงินค่าตั๋วให้ด้วยนะเออ
ในส่วนของโรงละครและพิพิธภัณฑ์ ลา สกาลา เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึงประมาณ 5 โมงเย็น เฉพาะในช่วงที่ไม่มีการซ้อมใหญ่หรือไม่มีการแสดง โดยจะได้ขึ้นไปชมที่บริเวณที่นั่งชั้น 3 แต่ถ้าอยากชมแบบละเอียดๆ มีไกด์ให้ความรู้ด้วย จะมีให้เลือกว่าจะชมมิวเซียม ทัวร์โรงละคร หรือไปดูเจ้าหน้าที่เขาทำฉาก สร้างอุปกรณ์ประกอบฉากกัน ราคาบัตรเข้าชมก็แตกต่างกันไป แต่ถ้าใครมีเวลาและชอบอยู่แล้ว น่าจะจองตั๋วชมโอเปรา บัลเลต์ หรือฟังดนตรีออร์เคสตราสักรายการหนึ่ง ของแบบนี้เมืองไทยหาชมไม่ได้ง่ายๆ
Teatro alla Scala พิพิธภัณฑ์ เปิดบริการทุกวัน เวลา 9.00-17.30 น. ปิดบริการ : วันที่ 7, 24 (ช่วงบ่าย), 25, 26, 31 ธันวาคม (ช่วงบ่าย), 1 มกราคม, วันอีสเตอร์, 1 พฤษภาคม, 15 สิงหาคม
มีค่าเข้าชม: 9 ยูโร เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ฟรี
www.museoscala.org/en/, www.teatroallascala.org/en/
Castello Sforzesco – Sforza Castle
ณ สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดกลางเมืองมิลาน “คาสเตลโล สฟอร์เซสโก” หรือ “ปราสาทสฟอร์เซสโก” ป้อมปราการที่เคยใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้มาเป็นเวลาหลายร้อยปี ‘ปราสาทสฟอร์เซสโก’ สร้างขึ้นครั้งแรกประมาณปี ค.ศ.1358-1370 เพื่อเป็นที่อยู่ของตระกูลวิสคอนติ (Visconti) จนเมื่อทายาทคนสุดท้ายของตระกูลเสียชีวิต ปราสาทก็ถูกเปลี่ยนมือ และบางส่วนก็ถูกทุบทำลายเสียหาย กระทั่งปี ค.ศ.1450 ฟรานเซสโก สฟอร์ซา (Francesco Sforza) ผู้ก่อตั้งราชวงศ์สฟอร์ซาของอิตาลี สร้างปราสาทนี้ขึ้นมาใหม่ มีการว่าจ้างสถาปนิกและประติมากรชื่อดังสมัยนั้น ให้มาออกแบบตกแต่งหอคอย การก่อสร้างกินเวลานานหลายสิบปี ใช้สถาปนิกชื่อดังและศิลปินอีกหลายคน ออกแบบตกแต่ง ซึ่งลีโอนาร์โด ดา วินชี ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ความกว้างขวางและใหญ่โต ของป้อมปราการปราสาทสฟอร์เซสโก ทำให้เรารู้สึกตัวเล็กมาก ตัวกำแพงดั้งเดิมนั้นหนาถึง 7 เมตร จนอดจินตนาการไม่ได้ว่า ทันทีที่ประตูข้ามคูรอบปราสาทถูกชักปิด ภายในนี้คงเป็นบ้านที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากๆ ปัจจุบัน ปราสาทสฟอร์เซสโก กลายเป็นแหล่งพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมของมิลาน ทั้งพิพิธภัณฑ์งานศิลปะโบราณ The Museum of Ancient Art ที่เก็บผลงานของศิลปินชื่อดัง พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรี พิพิธภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์โบราณ และงานไม้ และพิพิธภัณฑ์เฉพาะด้านอีกหลายอย่าง ในส่วนของพิพิธภัณฑ์นั้นเก็บค่าเข้าชม แต่บริเวณปราสาทสฟอร์เซสโก เปิดให้เข้าฟรี เข้าไปเดินเล่นชมสวนดูลวดลายสวยๆ บนเพดาน หรือแค่ไปนั่งพักจิบกาแฟที่คาเฟ่ภายในเขตป้อมปราการก็ได้
Castello Sforzesco เปิดบริการทุกวัน ในเวลา 7.00-19.30 น. ฟรีค่าเข้าชม ส่วนพิพิธภัณฑ์ เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 9.00-17.30 น. ปิดบริการในวันจันทร์ และ วันที่ 25 ธันวาคม, 1 มกราคม, 1 พฤษภาคม มีค่าเข้าชม 10 ยูโร
www.milanocastello.it/en
The Last Supper
มาถึงมิลานทั้งที ต้องแวะมาชมงานชิ้นนี้ให้เห็นกับตา “เดอะ ลาสต์ ซัปเปอร์” พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย ภาพวาดที่โด่งดังที่สุดอีกชิ้นหนึ่งของ เลโอนาร์โด ดา วินชี ซึ่ง เลโอนาร์โดวาดภาพนี้ไว้ที่กำแพงห้องหนึ่งของอาราม ซานตา มาเรีย เดลเล กราซีเอ (Santa Maria delle Grazie) เมื่อปี ค.ศ.1495 ภาพมีขนาด 450 x 870 เซนติเมตร เดิมทีผู้คนเข้าใจว่าภาพนี้เป็นภาพปูนเปียก หรือภาพเฟรสโก (fresco) แต่ภายหลังเมื่อภาพเริ่มแตก และมีการซ่อมแซม จึงเชื่อว่า เลโอนาร์โดวาดภาพลงบนผนังปูนธรรมดา หรือเป็นจิตรกรรมฝาผนังแบบปูนแห้ง (a secco) มีการทดลองใช้วิธีวาดภาพแบบใหม่ๆ ทำให้ไม่ต้องรีบๆ วาดเหมือนการวาดบนผนังปูนเปียก นั่นทำให้เขาสามารถวาดๆ หยุดๆ กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาถึง 3 ปี
อาคารหลังนี้ถูกระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ภาพนี้กลับไม่เป็นอะไร หาใช่ปาฏิหาริย์ใดๆ ไม่ แต่เป็นเพราะผู้คนช่วยกันนำกระสอบทรายมาบังกำแพงไว้ แม้ว่าภาพจะไม่เสียหายจากสงคราม แต่ก็เสียหายจากระยะเวลาอันยาวนาน ทำให้มีการบูรณะภาพนี้หลายต่อหลายครั้ง ซ้ำร้ายยังบูรณะแบบผิดๆ ถูกๆ โดยครั้งสุดท้ายใช้เวลาบูรณะแก้ไขนานถึง 21 ปี ซึ่งเชื่อว่าเป็นการบูรณะที่ถูกต้องที่สุด
ผนังฝั่งตรงกันข้ามกันเป็นงานจิตรกรรมของ จีโอวานนิดูนาโต ดา มอนโตร์ฟาโน (Giovanni Donato da Montorfano) ชื่อภาพ Crucifixion หรือการตรึงกางเขนของพระเยซู ซึ่งเหมือนเป็นตอนต่อจากภาพพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนส่วนใหญ่ก็จะให้เวลากับภาพของเลโอนาร์โดมากกว่า ที่สำคัญคือ ทุกคนมีโอกาสอยู่ในห้องนี้ครั้งละ 15 นาทีเท่านั้น เพราะห้องนี้ต้องควบคุมทั้งแสง อุณหภูมิ และจำนวนผู้เข้าชม เพื่อรักษาสภาพของภาพให้มีคุณภาพนานเท่านาน ก่อนจะเข้ามาถึงห้องนี้ได้ ต้องผ่านห้องปรับระดับความชื้นอีกสองชั้น ไม่นับว่าจะต้องจองตั๋วล่วงหน้ากันหลายเดือน ต้องมาให้ตรงเวลา และต้องเข้าแถวรอ การจะดูงานต้นฉบับระดับมรดกโลกชิ้นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
Santa Maria Delle Grazie เปิดบริการวันอังคาร-อาทิตย์: 8.15-18.45 น. ค่าเข้าชม: 10 ยูโร
legraziemilano.it