พาชมภูเขา ทะเลสาบ ดื่มวิสกี้ ที่ Scotland กับการเดินทางที่ไม่ได้ตั้งใจมา
แม้จะรู้ว่านี่คือรถไฟไฮสปีดแล้ว แต่ก็ยังช้าเกินกว่าที่ใจหวัง ความกระวนกระวายเกิดขึ้นในใจบ่อยครั้งระหว่างที่นั่งรถไฟความเร็วสูงจาก ‘ลอนดอน’ สู่ ‘กลาสโกว์’
หมุดหมายของการเดินทางครั้งนี้ เดิมทีถูกปักไว้ในอาณาบริเวณของอังกฤษแต่เพียงประเทศเดียว แต่ด้วยคำชี้ชวนของเพื่อนผู้ใช้เวลาร่ำเรียนอยู่ทางตอนบนของอังกฤษที่ว่า “มาขนาดนี้แล้ว เลยไปเที่ยวสก็อตแลนด์สัก 2-3 วันเถอะ” ทำให้นิ้วเผลอไปกดดูรูปวิวทิวทัศน์ของกลาสโกว์ (Glasgow) และเอดินเบอระ (Edinburgh) อย่างไม่ตั้งใจ สุดท้ายก็ได้ตั๋วรถไฟในราคาที่เลือกไม่ได้ (เพราะจองแทบจะวินาทีสุดท้าย) มากำไว้ในมือ
สี่ชั่วโมงครึ่งคือเวลาที่ระบุไว้สำหรับการเดินทางสู่กลาสโกว์ แม้จะอยากไปพบปะกับชาวสก็อตติชต่อหน้า แต่เมื่อเดินทางออกจากเมืองใหญ่ไปสักระยะ ก็เริ่มรู้สึกอยากยืดเวลาให้รถไฟนั้นช้าลงอีกนิด เมื่อภาพสองข้างทางที่ปรากฏผ่านกระจกนั้นทำให้หนังสือที่ถือในมือตรงหน้าหมดความน่าสนใจไป
แม้การเดินทางมาสก็อตแลนด์นั้นเป็นแผนที่ไม่ได้คาดไว้ แต่สิ่งที่คาดเดาได้แน่นอนคือ ‘ฝนตก 80%’ ซึ่งกลาสโกว์ก็ต้อนรับกันด้วยท้องฟ้าสีเทาและฝนเบาๆ ที่ทิ้งตัวลงมา หลังเก็บข้าวของเข้าที่พักเรียบร้อย ก็ตัดสินใจว่าจะออกเดินไปสำรวจเมืองดูหน่อย กลาสโกว์ไม่ใช่เมืองใหญ่นัก เดินไปสัก 2-3 ชั่วโมง แวะนู่นนิดนี่หน่อย ก็เหมือนจะรู้จักกันดีแล้ว แต่อย่างหนึ่งคือที่นี่เป็นเมืองที่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในหนังตลอดเวลา นั่นหมายถึงว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์แบบที่เป็นโลเคชั่นถ่ายหนังได้แทบทุกแยกทุกโค้ง มีช่วงขึ้นเขาลงเขาให้อะดรีนาลีนหลั่ง ขณะเดียวกันก็มีแม่น้ำไคลด์ (River Clyde) ให้ได้เดินสบายๆ เลาะริมฝั่งทอดอารมณ์ไป
People make Glasgow
ในระหว่างเดิน สถานที่แรกที่แวะเข้าไปคือ ‘Glasgow Cathedral’ ที่ใครๆ ต่างก็บอกว่าเป็น ‘แลนด์มาร์ก’ ของเมือง สิ่งที่สะดุดตาก่อนจะก้าวเท้าเข้าโบสถ์คือ ‘Glasgow Necropolis’ เนินเขาสุสานที่ทอดยาวเป็นแบคกราวด์หลังโบสถ์ ประกอบกับท้องฟ้าที่มีเมฆดำก้อนใหญ่ (แหม บรรยากาศถ่ายหนังได้จริงๆ นะ) ภายในโบสถ์เองก็ขรึมขลังไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นยอดแหลมสูงตามสไตล์กอธิก กระจกสีที่เรียงรายอย่างละเมียดละไมบนหน้าต่าง The Millennium Window หรือห้องใต้ดินซึ่งว่ากันว่ามีหลุมฝังศพของ St. Kentigern นักบุญประจำเมือง หยิบแผ่นพับขึ้นมาอ่านก็พบว่าโบสถ์แห่งนี้คือเป็นที่นับถือมากๆ ของชาวเมือง เพราะเป็นโบสถ์ยุคกลางเพียงแห่งเดียวของสก็อตแลนด์ที่รอดจากเหตุการณ์การปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ในปี 1560 มาได้ด้วย ทั้งความสลักสำคัญและความตระการตาที่อยู่ตรงหน้านั้น ใครที่แวะมากลาสโกว์ก็สมควรแวะมาโบสถ์นี้สักครั้ง
ไม่ใช่เพียงแค่ตัวโบสถ์เท่านั้น แต่ระหว่างทางไปกลับ ยังมี Street Art ให้ได้หยุดถ่ายรูปอยู่ตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด St. Mungo แบบโมเดิร์นโดย Smug ที่อยู่ไม่ไกลจากโบสถ์นัก หรืองานของ Banksy ที่อยู่บนผนังตึกสูงใจกลางเมือง งานวาดหรืองานศิลปะที่เกิดขึ้น รวมถึงอีเวนท์ทางสังคมและวัฒนธรรมหลายอย่างที่เกิดขึ้นที่กลาสโกว์นี่ ส่วนมากเกิดขึ้นภายใต้แคมเปญ ‘People make Glasgow’ ซึ่งเป็นแคมเปญการท่องเที่ยวของเมืองที่ชักชวนให้คนกลาสโกว์ออกมาทำอะไรดีๆ สนุกๆ ให้เมืองตัวเอง ซึ่งก็ดีกับนักท่องเที่ยวอย่างเราด้วย ที่มีโอกาสได้สัมผัสความเป็นกลาสโกว์อย่างแท้จริง
อีกหนึ่งชั่วโมงต้องมนต์ในกลาสโกว์ ก็คงเป็นที่ ‘Kelvingrove Art Gallery and Museum’ พิพิธภัณฑ์และแกลเลอรี่ที่รวบรวมผลงานกว่า 8,000 ชิ้น ซึ่งเปิดให้ทุกคนเข้าชมฟรี เมื่อไปถึงแล้วก็รู้สึกไม่แปลกใจเลยที่ที่แห่งนี้ได้รับการโหวตให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร นั่นเพราะไม่เพียงแค่ชิ้นงานที่มีให้ดูหลากหลาย แต่บรรยากาศที่นี่ไม่ได้เคร่งขรึมเหมือนพิพิธภัณฑ์ทั่วไป หากแต่มีพื้นที่ให้เด็กๆ วิ่งเล่น มีที่นั่งให้คุณตาคุณยายนั่งชมภาพถ่ายที่ชื่นชอบ ที่นี่จึงเหมือนสนามเด็กเล่นและบ้านของการเรียนรู้ จนทำให้เวลาหลายชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเมฆจะบดบังแสงบนท้องฟ้าจนยากจะระบุเวลาได้ แต่นาฬิกาก็ยังทำหน้าที่บอกว่าวันนี้กำลังจะหมดไป สองเท้าค่อยๆ สาวไปยังหมุดหมายสุดท้ายสำหรับวันนี้ นั่นก็คือ ‘Glasgow Green’ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ริมแม่น้ำ เหมาะแสนเหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนกายและปล่อยให้ความสบายใจไหลอาบท่วมตัว แสงสุดท้ายของวันโผล่มาทักทายเล็กน้อย ก่อนส่งกลาสโกว์เข้าสู่ราตรีอย่างสมบูรณ์
Heart of the Highlands
“มันเป็นสัตว์ประหลาดใน Loch Ness ครับ หน้าตาเหมือนไดโนเสาร์คอยาวๆ แต่อยู่ใต้ทะเล มีคนเคยพยายามค้นหามันมาเยอะมาก ใช้ทั้งโซนาร์สแกน ดาวเทียมกูเกิ้ลเอิร์ธ หรือตรวจดีเอ็นเอด้วย แต่ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้” นี่คือคำโฆษณาเกี่ยวกับ Nessie สัตว์ในตำนานของสก็อตแลนด์ จากปากของน้องชายวัย 10 ปีที่คลั่งไคล้ในไดโนเสาร์และสัตว์ในตำนานทุกประเภท พร้อมยืนยันหนักแน่นว่า Highlands เป็นที่ที่ต้องไปให้ถึง
การออกเดินทางพร้อม Rabbie’s Tours จึงเริ่มขึ้น ความน่ารักของทัวร์นี้ที่อยากแนะนำให้กับใครที่ไปเยือนสก็อตแลนด์คือ นอกจากเป็นทัวร์กรุปเล็กๆ ที่มีแต่คนน่ารักๆ มารวมตัวกันแล้ว ยังมี ‘แจ็ค’ คุณลุงไกด์ใจดีที่ใส่กระโปรงแบบชาวสก็อตช์ดั้งเดิมคอยดูแลอย่างใกล้ชิดและเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ฟังตลอดทาง เรียกว่าได้ทั้งความรู้และความสุขไปพร้อมๆ กัน
จากจุดนัดพบที่กลาสโกว์ รถตู้คันเล็กค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่ถนนสายยาวที่โอบล้อมไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวและทิวเขาอันยาวไกล จากนั้นฉากก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเหมือนกับเพลงสก็อตติชที่แจ็คเลือกให้เหมาะกับบรรยากาศ ทุ่งหญ้าสีน้ำตาลทองเริ่มเข้ามาแทนที่ ทะเลสาบใสราวกระจกเริ่มโผล่มาให้เห็นเป็นระยะ และภูเขาเริ่มลดระยะทางเข้ามาใกล้ขึ้นจนเริ่มสังเกตเห็นปุยหิมะขาวบนยอด แจ็คเริ่มเปลี่ยนจากการเล่าถึงเพลงและศิลปะของสก็อตแลนด์ มาสู่เรื่องโรงกลั่นวิสกี้ ก่อนจะพาย้อนกลับไปสู่อดีตของดินแดนที่เรียกว่า Highlands แห่งนี้ และประวัติศาสตร์ฉบับย่อของสก็อตแลนด์ก็ทำให้เรารู้ว่าเมื่อก่อนชาว Highlanders กับคนสก็อตแลนด์ (ในเมือง) นี่เคยสู้รบกันมาก่อน จนกระทั่งถึงวันที่สก็อตแลนด์ถูกรุกรานโดยชาวต่างชาติ ทั้งสองฝ่ายก็หันกลับมายืนข้างเดียวกันเพื่อปกป้องประเทศตัวเอง แหม.. ช่างเป็นเส้นเรื่องที่คลาสสิกสำหรับทุกที่ทุกสมัยเสียเหลือเกิน
“ที่อังกฤษเขามี Lake ส่วนที่สก็อตแลนด์เรามี Loch” แจ็คบอกกับทุกคนแบบนั้นเมื่อมาถึงจุดแวะพักแรก ซึ่งก็คือ Loch Lomond ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่ถูกโอบล้อมด้วยทิวเขาสูงและเมฆหมอกอันอบอวล ด้วยเวลาที่ไม่มากนัก เมื่อกาแฟแก้วแรกของวันหมดลง ทัวร์ของเราจึงต้องเคลื่อนตัวต่อไปที่ Glencoe เส้นทางที่ลัดเลาะผ่านหุบเขาที่ใครมาเห็นก็กล้าบอกว่าต้องตะลึง แม้แต่ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Skyfall ก็ยังอดไม่ได้ที่จะบรรจุโลเคชั่นนี้ลงไหนเรื่อง ภูเขา ต้นสน ลำธาร และถนนคดเคี้ยว ทุกอย่างประกอบกันอยู่ที่นี่อย่างลงตัว
Highlands ดูเหมือนจะไม่เคยปราณีใครในเรื่องของความสวยความงาม เพราะเมื่อไปถึง Fort Augustus เมืองเล็กๆ ติดกับ Loch Ness ก็เจอกับความลงตัวอีกแบบ นั่นคือการอยู่ร่วมกันระหว่างผู้คนกับธรรมชาติขนาดใหญ่ หลังฝากท้องไว้กับร้าน fish & chips ชื่อดังของเมือง ทุกคนก็ชวนกันพาตัวลงไปในเรือขนาดกลาง ล่องไปตามกระแสน้ำของ Loch Ness เอาจริงๆ ตอนนั้นก็หวังลึกๆ ว่าจะได้เห็นร่องรอยของสัตว์ในตำนานอย่าง Nessie แต่แม้ไม่ได้เจอตัวจริง ก็ต้องขอบคุณที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น และสัมผัสกับประสบการณ์ Highlands อันน่าหลงใหล
ระหว่างทางกลับยังพอมีเวลา แจ็คเลยพาทุกคนแวะชมเมืองเล็กๆ ตามหุบเขาระหว่างทาง พร้อมพาชิมไอศกรีมวิสกี้ ไม่ใช่เพียงรสชาติของวิสกี้ในวันนั้นที่ยังติดอยู่ในใจ แต่ความสุขที่ได้ไปเหยียบ Highlands ก็ยังคงสร้างรอยยิ้มได้เรื่อยๆ เมื่อคิดถึง
This is Edinburgh
รถไฟ Scotrail ใช้เวลาเพียงชั่วโมงก็เปลี่ยนฉากจากกลาสโกว์ไปยัง ‘เอดินเบอระ’ (Edinburgh) ความไม่รู้ทำให้การออกเสียงว่า ‘เอดินเบิร์ก’ นั้นชวนให้คู่สนทนางงไปหลายคน เมื่อบอกใครๆ ว่าจะไปเมืองนี้ ด้วย ‘ฟีลลิ่ง’ ที่ยังหลงใหลกับภูเขาอยู่ เย็นวันที่ไปถึงจึงตั้งใจที่จะไปชมพระอาทิตย์ตกที่ ‘Arthur’s Seat’
แม้กะระยะด้วยสายตาแล้ว ภูเขาที่ไม่ว่าอยู่จุดไหนของเมืองก็สามารถมองเห็นได้ลูกนี้ จะไม่ได้ถูกจัดอันดับอยู่สูงนัก แต่ก็ถือว่าเหนื่อยเอาการสำหรับการเดินที่ต้องแข่งกับเวลาพระอาทิตย์ตก สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ‘Arthur’s Seat’ บนอดีตภูเขาไฟที่ได้มอดไปแล้วลูกนี้ ที่มาที่แท้จริงของชื่อคืออะไร บ้างก็ว่ายอดเขานี้ตั้งชื่อขึ้นมาจากกษัตริย์อาเธอร์ ส่วนบางคนก็บอกว่าชื่อนั้นเพี้ยนมาจากคำว่า ‘Ard-na-Said’ ซึ่งเป็นวลีของภาษาเกลิกที่หมายถึงความสูงของยอดคันธนู แต่ไม่ว่าชื่อนี้จะได้แต่ใดมา การก้าวขึ้นมายืนบน Arthur’s Seat ชื่นชมทัศนียภาพของเมือง ขับออกไปถึงนอกเมืองและชายฝั่งนั้น ก็นับเป็นคำทักทายที่ดีที่สุดที่เอดินเบอระได้มอบให้
นอกจาก Arthur’s Seat แล้ว อีกจุดชมวิวที่สวยไม่แพ้กันคือ ‘Calton Hills’ ซึ่งเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานแห่งชาติสก็อตแลนด์ ซึ่งสร้างขึ้นให้กับทหารและลูกเรือที่เสียชีวิตในการต่อสู้ในสงครามจักรพรรดินโปเลียน รวมถึงมีหอดูดาวยอดโดมแบบกรีกโรมัน (City Observatory) ให้ได้นั่งชื่นชมพระอาทิตย์ตกและชมวิวทิวทัศน์ของเมืองได้
แต่หากถามถึงสถานที่ที่ชื่นชอบที่สุดในเมืองนี้ ก็ต้องยกให้กับ ‘University of Edinburgh’ หรืออาจจะเรียกว่า ‘ฮอกวอตซ์’ ในชีวิตจริงก็ได้ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่ใช้ถ่ายภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter และแม้จะไม่ใช่นักศึกษา แต่การเดินเล่นในเขตแคมปัสก็ชวนให้ฟินได้ไม่น้อย ขณะที่ ‘Edinburgh Castle’ ที่อยู่ในระยะเดินถึงเหมือนกัน ก็เปล่งออร่าของความขรึมขลังอยู่บนเนินไม่ไกลจากใจกลางเมือง จำได้ว่านิตยสาร TIME เคยจัดอันดับให้ปราสาทแห่งนี้เป็นสถานที่อันชวนขนหัวลุกมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกด้วย และเมื่อเดินเข้าไปสำรวจ ก็พบว่าบรรยากาศยามเย็นที่นี่ก็ชวนให้ขนลุกได้มากกว่าปกติไม่น้อยเลย
ชั่วโมงท้ายๆ ในเอดินเบอระและสก็อตแลนด์ ถูกใช้ไปกับการเดินสำรวจตรอกซอกซอยต่างๆ ยืนชมดนตรีสดตามมุมถนน แวะชิม Haggis อาหารท้องถิ่นของชาวสก็อตติช รวมไปถึงดื่มด่ำกับรสวิสกี้ต้นตำรับ พลางสูดบรรยากาศดีๆ ที่สก็อตแลนด์เก็บไว้
“ชอบ ชอบที่นี่มาก ยังไงก็จะมาอีก และครั้งหน้า จะมาแบบตั้งใจมา”