อนาคตของการเคลื่อนที่จะเป็นอย่างไร? บทสัมภาษณ์ Wilko Stark
อนาคตของการเคลื่อนที่จะเป็นอย่างไร? บทสัมภาษณ์ Wilko Stark หัวหน้าฝ่าย Daimler Strategy, Mercedes-Benz Cars Product Strategy & Planning, and CASE
EQC ซึ่งจะเริ่มประกอบและนำมาใช้ในปี 2019 จะเป็นจุดเปลี่ยนให้เมอร์เซเดส–เบนซ์ก้าวสู่ยุคใหม่ไหม?
แน่นอนครับ EQC จะเป็นจุดเริ่มต้นของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มากมายที่จะตามมา หลังจากเริ่มใช้ EQC แล้ว เราจะผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ออกมาทุกๆ 6-8 เดือน ภายในปี 2022 เราตั้งใจจะให้มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 10 รุ่นในพอร์ตโฟลิโอ ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่สมาร์ทคาร์ SUV ไปจนถึงรถ 7 ที่นั่ง ในขณะเดียวกัน เราก็จะพัฒนาระบบสถานีชาร์จไฟให้ดีขึ้นและครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้นด้วย
อะไรคือเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของเมอร์เซเดส–เบนซ์?
เมอร์เซเดส-เบนซ์ต้องการที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมด้านยานยนต์จากที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่แค่การขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการปรับเปลี่ยนด้านต่างๆ ในอนาคตภายใต้กรอบที่เราเรียกว่า CASE หรือการขับขี่แบบอัตโนมัติด้วยพลังงานไฟฟ้าที่มีการเชื่อมต่อและแบ่งปันบริการร่วมกัน (C-Connect เชื่อมต่อ A-Autonomous พึ่งพาตัวเอง S-Share & Service แบ่งปันและบริการ และ E-Electric ไฟฟ้า) วิธีการของเราก็คือการผสมผสานเอาสินค้า เทคโนโลยี และบริการเพื่อสร้างระบบนิเวศที่ไร้ที่ติสำหรับการเคลื่อนที่ ทาง Daimler ก็พยายามที่จะรวมเอาความเชี่ยวชาญในทุกๆ ด้านเพื่อมาสร้างรูปแบบการเคลื่อนที่ใหม่และยานยนต์ที่รวมเอาคอนเซ็ปต์ทั้งหมดนั้นเข้าไว้ด้วยกัน
เราจะได้เห็นรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเมื่อไหร่?
ตอนนี้เราอยู่ในระดับที่สองแล้ว นั่นหมายถึงว่าการขับขี่แบบอัตโนมัติบางส่วนเริ่มถูกนำไปใช้บนมอเตอร์เวย์และไฮเวย์ รวมถึงในเขตเมืองบ้างแล้ว และในระดับนี้ Distronic Plus บวกกับตัวช่วยหมุนพวงมาลัยจะช่วยให้คนขับได้หยุดพักชั่วคราวได้ในหลายๆ สถานการณ์ อย่างเช่นเวลารถติดที่ต้องสลับเบรคกับคันเร่งอยู่บ่ายๆ แต่ก็แน่นอนล่ะว่า คนขับก็ยังต้องเตรียมพร้อมที่จะคว้าพวงมาลัยอยู่เสมอ
แล้วเมื่อไหร่ที่คนขับจะสามารถเอนหลังสบายๆ ได้เลยในการขับขี่?
มันเป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่เหมือนกันนะ ถ้าจะเปลี่ยนจากการขับขี่อัตโนมัติแบบบางส่วนไปสู่การขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (ระดับ 4/5) นั่นเป็นเพราะมันต้องการระบบการคิดคำนวณที่สูงขึ้นมากจากการก้าวสู่ระดับหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่ง แต่เราก็กำลังทุ่มเททำงานกันอย่างหนักเพื่อพัฒนาให้ก้าวไปสู่ระดับ 3 และ 4/5 ให้ได้ แม้ว่ามันอาจจะจะต้องใช้เวลาในการพัฒนามากกว่าปกติสักหน่อย แต่ก็ไม่มากและไม่ไกลเกินกว่าที่จะรอคอย พูดให้ชัดๆ ก็คือว่า เราตั้งใจที่จะปล่อย รถยนต์ขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติแบบที่ยังต้องอาศัยผู้ขับขี่คอยเฝ้าระวัง (ระดับ 3) และรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบเต็มตัว (ระดับ 4/5) ได้ภายในปี 2020-2021 อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการพัฒนาเชิงเทคนิคแล้ว เรายังต้องอาศัยการขับเคลื่อนด้านกฎหมายเพื่อให้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัตินี้ถูกนำไปใช้ได้จริงด้วย
อะไรคือสิ่งที่คุณตั้งตารอในวันที่รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองแล้ว?
อย่างแรกเลยคือผมหวังให้อุบัติเหตุลดน้อยลง เพราะ 9 ใน 10 ของอุบัติเหตุเกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ แล้วผมก็น่าจะมีเวลาทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น เพราะรถยนต์จะกลายเป็นห้องนั่งเล่นเคลื่อนที่ได้ และไม่ต้องเสียเวลาไปกับการขับรถอีกแล้ว